จากคำกล่าวที่ว่า "สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล"

ดังนั้น เราจะหลีกเลี่ยงการใช้คำหยาบในเวปนี้นะครับ

วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เรื่องนี้ไว้สอนสำหรับคนเป็นพ่อแม่โดยเฉพาะ อ่านแล้วค่อยให้ลูกๆอ่านต่อ

ในระหว่างทานข้าวกลางวัน วนิดาซึ่งเป็นซีอีโอ
ถามกิตติผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งที่รายงานตรงต่อเธอว่า
“ กิตติ พี่สังเกตว่าคุณไม่เคยปิดมือถือเลย แม้กระทั่งเวลาประชุม
แล้วพี่ก็เห็นคุณขอตัวออกไปจากที่ประชุมกลางคันเพื่อรับโทรศัพท์
พี่อยากรู้ว่าเป็นโทรศัพท์ของใครหรือ ทำไมมันสำคัญขนาดรอจนจบประชุมไม่ได้ พี่เห็นเป็นประจำเลยนะ ”
กิตติมีท่าทีอึดอัด เขาตอบว่า
“ ไม่มีอะไรหรอกครับ เรื่องส่วนตัวนะครับ ผมขอโทษ ”
วนิดายิ้มแบบผู้ใหญ่ใจดี เธอเงียบไปสักครู่จึงพูดต่อ
“ กิตติ เราสองคนทำงานด้วยกันมาพอสมควร
คิดว่าพี่เป็นพี่สาวของคุณก็ละกัน เพราะพี่อายุมากกว่าคุณสองสามปี
มีอะไรก็เล่าสู่กันฟังซิคะ เผื่อว่าพี่อาจจะแนะนำอะไรให้ได้บ้าง ”
วนิดาเลือกใช้แนวทางพี่น้อง แทนที่เธอจะตำหนิเขาโดยตรง
ในเรื่องพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในที่ประชุมแบบเจ้านายกับลูกน้อง
วิธีนี้ได้ผล! กิตติสารภาพออกมาแบบกระอักกระอ่วน
“ ก็...คือว่า...พี่อย่าโกรธผมนะครับ มันเป็นโทรศัพท์มาจากลูกสาวผมเอง
เธอเพิ่งไปเรียนไฮสคูลที่ออสเตรเลียเมื่อไม่กี่เดือน
โรงเรียนที่ลูกสาวผมเรียนนี้ค่อนข้างจะเข้มงวด แถมมีการบ้านจมเลย
ตอนลูกสาวผมเรียนที่นี่ ผมช่วยติวและทำการบ้านร่วมกับเธอบ่อยๆ
ลูกคนเดียวเธอคือดวงใจของผมเลยครับ ผมบอกเธอว่าไปอยู่นั่น
ติดขัดเรื่องการบ้านละก็โทรมาหาผมได้ทุกเมื่อไม่ว่าจะเป็นเวลาใด
ผมจะคอยช่วยเหลือเธอผมไม่ต้องการเห็นเธอล้มเหลว
ตอนค่ำเมื่อกลับบ้านผมก็แทบจะไม่ได้พักผ่อน
แต่จะไปช่วยเธอทำการบ้านแล้วก็แฟ็กซ์ส่งไปเรื่องคณิตศาสตร์บ้าง
ภาษาอังกฤษบ้าง ผมอยากให้เธอประสบความสำเร็จ
ผมต้องขอโทษที่บริหารเวลาไม่ค่อยได้เรื่อง ”
กิตติจบเรื่องลงด้วยท่าทีละอายใจ วนิดาแสดงความเห็นใจ
“ เรื่องของคุณมันฟังแล้วคุ้นๆมากเลย พี่พอจะจินตนาการออก
ถึงความลำบากใจของเธอ พี่เองก็มีลูกสาวเรียนปริญญาโทอยู่ที่อเมริกา
พี่เคยทำแบบคุณเหมือนกัน เพราะลูกสาวพี่จบตรี แล้วไปต่อโทเลย
จึงไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน ดังนั้นพอทำกรณีศึกษาก็มักจะ
ไม่ทันเพื่อนเขา หรือไม่เข้าใจ แถมยังไม่กล้าถามอาจารย์อีก
พี่เลยต้องช่วยทำเคส แล้วก็อีเมล์ไปให้เธอ แต่ว่าตอนนี้พี่หยุดช่วยเธอแบบนั้นแล้วล่ะค่ะ ”
กิตติถามด้วยความประหลาดใจ
“ ทำไมล่ะครับ พี่ไม่รักเธอแล้วหรือ
หรือว่าพี่เห็นว่างานมีความสำคัญกว่าครอบครัวครับ ”
วนิดาตอบพร้อมกับยิ้มอย่างอารมณ์ดีว่า
“ พี่ยังรักลูก และเห็นคุณค่าของครอบครัวและงานเหมือนเดิม
พี่โชคดีที่มีเพื่อนชาวอเมริกันคนหนึ่ง เขาสังเกตเห็นวิธีที่พี่ช่วยลูกสาว
แล้ววันหนึ่งเขาก็ให้หนังสือเล่มหนึ่งชื่อ The Power of Failure
โดย Charles C. Manz และมีการแปลเป็นไทยในชื่อ วิกฤติคือโอกาส
โดยพสุมดี กุลมา เรียบเรียงโดย นราธิป นัยนา
เพื่อนอเมริกันเขาคั่นเรื่องๆหนึ่งให้พี่อ่านโดยเฉพาะเลย พี่จะเล่าให้เธอฟัง ”
........
มีชายคนหนึ่งนั่งมองผีเสื้อที่กำลังดิ้นรนจะออกจากรังไหม
เจ้าผีเสื้อดิ้นรนไปซักพัก จนกระทั่งใยรังไหมเริ่มขาดเป็นรูเล็กๆ
ชายคนนั้นมองด้วยความสนใจ เจ้าผีเสื้อดูเหมือนจะหยุดไป ที่จริงผีเสื้อมันพักเพื่อที่จะดิ้นรนต่อไป
แต่ว่าชายคนนั้นคิดไปเองว่าผีเสื้อคงติดใยรังไหม ไม่สามารถจะออกมาได้ด้วยตนเอง
ด้วยความหวังดี เขาจึงนำกรรไกรขนาดเล็กมาตัดใยรังไหมนั้น
ให้รูมันขยายใหญ่ขึ้น เจ้าผีเสื้อเห็นรูขยายใหญ่ขึ้นมันก็คลานต้วมเตี้ยมออกมา
แต่เขาสังเกตว่าตัวมันมีขนาดเล็กกว่าปกติ ปีกเหี่ยวย่น แถมลำตัวของเจ้าผีเสื้อก็มีลักษณะบวมผิดปกติ
กลายเป็นว่าในขณะที่ผีเสื้อต้องดิ้นรนออกแรงตะเกียกตะกาย
เพื่อพยายามจะดันตัวมันออกจากรังไหมนั้น
เป็นกระบวนการธรรมชาติที่จะกระตุ้นให้ของเหลวชนิดหนึ่ง
ที่อยู่ในลำตัวผีเสื้อเคลื่อนที่มาสู่ปีก เพื่อทำให้ปีกแข็งแรงเพียงพอจะบินได้
ด้วยความปรารถนาดีของชายคนนั้น
ผีเสื้อตัวนี้ปีกจึงเหี่ยวย่นไม่แข็งแรงเพียงพอจะบินได้
แถมยังมีรูปร่างพิกลพิการ เพราะของเหลวที่ควรจะอยู่ที่ปีก ดันไปติดคั่งค้างอยู่ที่ลำตัว
เจ้าผีเสื้อตัวนี้ออกจากใยมาได้ด้วยความสบาย
แต่ต้องพิกลพิการ และบินไม่ได้ไปชั่วชีวิตของมัน

.....
อุปสรรคและความล้มเหลวในชีวิตของคน ก็คล้ายๆกันกับสิ่งที่เจ้าผีเสื้อเผชิญ
ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ ความก้าวหน้าในชีวิต การพัฒนาทักษะ ความกล้าหาญ
ความมุ่งมั่น ล้วนแล้วแต่น่าสงสารและน่าเห็นใจ
แต่จะได้คุณค่ามาก็ด้วยการล้มเหลวอย่างถูกวิธี
เราจะคาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิต
โดยไม่มีความล้มเหลวนั้นเป็นไปไม่ได้
เมื่อเราเผชิญอุปสรรค แล้วเราหลีกเลี่ยงที่จะแก้ไขหรือต่อสู้กับมัน
เท่ากับว่าเรากำลังเสียโอกาสสำคัญในการเรียนรู้บทเรียนที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในชีวิตของคน
กิตติฟังด้วยความสนใจ
“ โอ้โฮ เรื่องนี้จุดประกายน่าดูครับ แต่ผมกลัวว่าลูกผมจะเกลียดผมนะซีครับ ”
วนิดาเสริมต่อ
“ มีคำพูดที่ว่า 'No pain No gain' "ไม่เจ็บ ไม่ได้เรียนรู้"
ที่จริงพวกเรานะผิดเองที่ป้อนลูกๆ เรามากไป
สำหรับกรณีของพี่ พี่อธิบายให้ลูกเขาเข้าใจด้วยการเล่าเรื่องนี้แหละ
หลังจากนั้น พี่ก็ขอโทษสำหรับการให้ความช่วยเหลือลูกแบบผิดๆในอดีต
ลูกๆ ของเราเขาฉลาดพอจะเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้นะ ...
กิตติ คุณลองมองไปรอบๆตัวเราสิ เรามีพนักงานที่มีความรู้ มาจากครอบครัวที่มีฐานะ
หลายคนที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ พวกเขาไม่อดทนต่อปัญหาและอุปสรรค
คนที่ควรถูกตำหนิคือ พ่อแม่ของเขา คุณอยากถูกคนอื่นเขาต่อว่าแบบนี้ในอนาคตไหมล่ะ
แถมลูกๆ ของเรายังอ่อนแอไม่สามารถจะฟันฝ่าปัญหาอุปสรรคได้ .. ...คุณมีสิทธิ์เลือกนะ … ”

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ข้อคิดดีดี (ของเขาดีจริง!)

ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 ปี มีค่าเพียงใด

ให้ถามนักเรียนที่สอบไล่ตก
ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 เดือน มีค่าเพียงใด
ให้ถามมารดาที่ต้องคลอดบุตรก่อนกำหนด
ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 สัปดาห์ มีค่าเพียงใด
ให้ถามบรรณาธิการหนังสือรายสัปดาห์
ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 ชั่วโมง มีค่าเพียงใด
ให้ถามคู่รักที่ต้องรอเวลาจะพบกัน
ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 นาที มีค่าเพียงใด
ให้ถามคนที่พลาดรถไฟ รถประจำทางหรือเครื่องบิน
ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 วินาที มีค่าเพียงใด
ให้ถามคนที่รอดจากอุบัติเหตุอย่างหวุดหวิด
ถ้าอยากรู้ว่าเวลาเสี้ยววินาทีมีค่าเพียงใด
ให้ถามนักกีฬาโอลิมปิกที่ได้เหรียญเงิน
เวลาไม่เคยรอใคร
เราควรใช้ทุกขณะอันมีค่าให้ยิ่งดีที่สุด

Glitterfy.com - Glitter Graphics

เรื่องเตือนใจ ลองอ่านดู

เมื่อเป็นหิ่งห้อย

ก็อย่าอวดแสงกับ..พระจันทร์
ชีวิต..คงจะง่ายขึ้นมาก
หากคนเรา..
แสดงความอดทน..ในครอบครัว
ให้เท่ากับ..
เวลาที่เขา..ไปนั่งตกปลา
เงิน..ซื้อกระดาษ-ปากกาได้
แต่ซื้อ ซื้อความเป็นกวี..ไม่ได้
ความรัก..ไม่ได้ทำให้คนตาบอด
แต่คนต่างหาก..ที่ยอมตาบอด..เพื่อความรัก
กตัญญู..ให้ระลึก..อยู่ในจิต
สุจริต..ให้นึกคิด..อยู่ในใจ
คนโง่..ถามปัญหา..หนึ่งนาที
คนฉลาดคิด..ทั้งที่..ตอบไม่ได้
หนทาง..ที่ดีที่สุด
ที่จะลืมปัญหา..ของตนเอง
ก็คือ การช่วยแก้ปัญหา..ให้ผู้อื่น
ความกตัญญู
เป็นเครื่องหมายของ..คนดี
ศัตรู..ที่ร้ายเหลือ
ไม่เท่ากับ..เกลือเป็นหนอน
เหนือฟ้า..ยังมีฟ้า
เหนือคน..ยังมียอดคน
ฉะนั้น..จึงอย่าประมาท
คนส่วนใหญ่..
ใส่ใจกับ..ผลได้ระยะสั้น..เท่านั้น
แต่คนฉลาด..อย่างแท้จริง
จะมองไปยัง..อนาคต
ดวงอาทิตย์..ทำให้ทุกสิ่งกระจ่างชัด
แต่..เรายังต้องทำความเข้าใจ..ในส่วนที่มืด
ซึ่งยังคง..ดำรงอยู่
มีความรัก..ในวัยเรียน
เปรียบเหมือนจุดเทียน..ท่ามกลางสายฝน
อยู่คนเดียว..จงระวังความคิด
อยู่กับมิตร..จงระวังคำพูด
มีเพียงสุนัข..เท่านั้น
ที่ยอมมอบ..ความรัก
โดยไม่มีเงื่อนไข
แบกวิชา..ไว้บนบ่า
เบา..ที่สุดในโลก
ร่างกายมนุษย์..กลายเป็นสัตว์ไม่ได้
แต่ใจ..กลายเป็นสัตว์ได้
นก..ยังพาตีนของมัน..ไปติดบ่วงนายพรานได้
ลิ้น..ก็ย่อมพาคน..ไปสู่ความหายนะ..ได้เหมือนกัน
อด..อย่างเสือ
ดีกว่า..อิ่มอย่างหมา
นิสัยมนุษย์
ชอบเอื้อม..ในสิ่งที่สุดเอื้อม..เสมอ
วาจา..ที่มีน้ำผึ้ง..ติดปลายลิ้น
อาจมียาพิษ..ติดอยู่ในหัวใจ
บางครั้ง..
ชีวิตเป็นเหมือนเส้นตรง..ที่ไม่สลับซับซ้อนคดโค้ง
แต่นั่น..ไม่ได้หมายความว่า...
ข้างหน้านั้น...จะไม่มีทางแยก
บิดา คือ ธนาคาร
ที่บุตรถอนเงิน..โดยไม่ต้องฝาก
ความร่ำรวย..ของคนเรา
มิได้อยู่ที่ว่า..
เรามีทรัพย์สินเงินทอง..มากมายเพียงใด
แต่ขึ้นอยู่กับว่า..เราเป็นคนอย่างไร
คนโง่..คิดว่า..เขารู้ทุกอย่าง
หากท่านไปถกเถียง..กับเขา
ท่านก็ยิ่งโง่ไปกว่าเขา..เสียอีก
ตายพร้อมกับ..ชื่อเสียงที่ดี
ดีกว่ามีชีวิต..กับชื่อเสียง..ที่ใช้ไม่ได้

Glitterfy.com - Glitter Graphics

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เรื่องเล่า เช้านี้ ภาค 2 อุทาหรณ์ของครอบครัว

สลด! 10 ขวบไม่อยากไปเรียนประชดพ่อแขวนคอดับ
เกิดเหตุสะเทือนใจ หนูน้อยวัย 10 ขวบ นักเทควันโดเหรียญทอง ถูกพ่อรบเร้าให้ไปเรียนตามปกติ แต่เจ้าตัวไม่อยากไปขอหยุดอยู่บ้าน ผู้เป็นพ่อไม่ยอมสั่งให้ไปอาบน้ำแต่งตัว หนูน้อยอาบน้ำนานผิดปกติ พ่อเคาะประตูเรียกไม่ตอบ งัดประตูเจอใช้ผ้าขนหนูแขวนคอโตงเตงเสียชีวิตแล้ว ขณะที่มารดา เผย ลูกชายชอบดูหนังฆาตกรรม ห้ามไม่ฟัง แต่ยังเชื่อว่าไม่น่าเกี่ยวกับการนำไปสู่ความตาย น่าเป็นเหตุไม่อยากไปเรียน

วันนี้ (9 ต.ค.) เมื่อเวลา 12.00 น. ร.ต.ท.ภมร โพธิ์ขาว ร้อยเวร สน.บางขุนเทียน ได้รับแจ้งจากสถาบันพยาบาลบางขุนเทียน แขวงบางค้อ เขตจอมทอง กทม.ว่า มีเด็กชายผูกคอเสียชีวิต จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน และเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู

เมื่อผู้สื่อข่าวเดินทางไปถึงบริเวณหน้าห้องฉุกเฉินของสถานพยาบาลดังกล่าว พบศพ ด.ช.ธันวา เวชกามา หรือ “น้องเจมส์” อายุ 10 ปี อยู่บ้านเลขที่ 79/6 ซ.ชัยวัฒน์ 10 แขวงบางค้อ เขตจอมทอง กทม.สภาพศพไม่ใส่เสื้อ สวมกางเกงขาสั้นลายพราง ไม่มีบาดแผลตามร่างกาย มีเพียงรอยฟกช้ำบริเวณลำคอ เจ้าหน้าที่จึงเชิญตัวญาติผู้ตายไปทำการสอบปากคำที่โรงพัก
จากการสอบสวน นางอุบล เวชกามา อายุ 45 ปี มารดาของผู้ตาย ให้การว่า ตนมีอาชีพขายข้าวแกงอยู่ใกล้กับบ้านที่พักอยู่ ส่วนสามีเป็นเถ้าแก่ร้านผลิตรองเท้าแบบผู้หญิง ตนมีลูกทั้งหมด 4 คน ผู้ตายเป็นลูกชายคนเล็ก เรียนอยู่ชั้นประถามศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนเลิศพัฒนาศึกษา โดยวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเรียน ซึ่งทางโรงเรียนยังมีการเรียนตามปกติ แต่หลังจากเลิกเรียนจะมีการจัดงานเลี้ยงให้กับนักเรียนก่อนปิดเทอม วันนี้ลูกต้องไปโรงเรียนตามปกติ แต่ตนเห็นสายแล้วลูกยังไม่ตื่น จึงเข้าไปปลุกภายในห้องนอน ซึ่งลูกบอกว่าไม่อยากไปโรงเรียน จะขอหยุดอยู่บ้าน แต่สามีตนไม่ยอม พร้อมกำชับสั่งให้ลูกอาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียน

นางอุบล กล่าวต่อว่า จากนั้นตนได้ออกไปขายของ โดยปล่อยให้ลูกอยู่กับสามี และญาติๆ จนกระทั่งลูกเข้าไปอาบน้ำภายในห้องน้ำเวลา 09.00 น.ซึ่งสามีจะต้องเป็นคนขับรถไปส่งลูกชายที่โรงเรียนทุกวัน จนกระทั่ง 10.00 น.สามีเห็นว่าลูกอาบน้ำนานผิดสังเกต จึงเคาะประตูเรียก แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา จึงตัดสินใจงัดประตูห้องน้ำเข้าไป พบว่า ลูกได้ใช้ผ้าเช็ดตัวแขวนกับขื่อภายในห้องน้ำผูกคอตัวเองเสียชีวิตแล้ว

“ตอนนี้ลูกทุกคนปิดเทอมกันหมดแล้ว เหลือเพียงน้องเจมส์ที่ต้องไปเรียนวันนี้วันสุดท้าย แต่ไม่คิดว่าลูกชายจะคิดสั้นเพียงเพราะแค่ไม่อยากไปโรงเรียน ซึ่งเมื่อคืนที่ผ่านมาลูกยังจัดกระเป๋าเรียนเตรียมไว้ และไม่มีท่าทีจะโดดเรียน ปกติลูกชายเป็นคนนิสัยเรียบร้อย เรียนดี ไม่เกเร ร่าเริงแจ่มใส และไม่มีความเครียดเกี่ยวกับเรื่องการเรียน ไม่ได้ติดเกม อีกทั้งยังเป็นนักกีฬาเทควันโดของโรงเรียนและชมรมเทควันโด one เคยได้รับรางวัลมามากมาย ทั้งนี้ ตนและญาติพี่น้องทุกคนรวมทั้งอาจารย์ ต่างรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากกับการจากไปของน้องเจมส์” นางอุบล กล่าว

นางอุบล กล่าวอีกว่า ปกติลูกชายจะชอบดูหนัง ซึ่งมีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับคดีฆาตกรรม ชื่อเรื่อง 1,000 วิธีสู่การตาย ทางช่อง 20 ของทรูวิชั่นส์ ซึ่งตนก็ได้เคยห้ามไม่ให้ลูกดู เพราะว่ามันโหดร้ายน่ากลัว แต่ลูกก็ดูเป็นประจำ เมื่อวานที่ผ่านมา ขณะที่ตนกำลังนั่งดูทีวี ลูกชายก็เดินมาขอดูรายการดังกล่าว ตนพยายามห้าม แต่ลูกชายก็ไม่ฟัง แต่ทั้งนี้ ตนเชื่อว่า คงไม่เกี่ยวกับการที่ลูกผูกคอตาย น่าจะเป็นเพราะลูกไม่อยากไปโรงเรียน

ด้าน ร.ต.ท.ภมร กล่าวว่า สำหรับสาเหตุที่ทำให้น้องเจมส์ผูกคอตาย น่าจะมาจากการที่ผู้ตายไม่อยากไปโรงเรียน อยากหยุดอยู่บ้านกับพี่ๆ และครอบครัว และเกิดความน้อยใจที่ถูกบังคับให้ไปโรงเรียน ประกอบกับอาจจะดูหนังเกี่ยวกับวิธีการฆาตกรรม จึงเกิดคิดสั้นผูกคอตายดังกล่าว ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะทำการสอบปากคำญาติของผู้ตาย รวมถึงพยานแวดล้อมอย่างละเอียดอีกครั้ง หลังจากนี้ จะมอบศพให้มูลนิธิส่งไปชันสูตรที่สถาบันนิติเวช เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ ด.ช.ธันวา เวชกามา เป็นนักเทควันโด ขั้น 11 สายสีฟ้า เป็นนักกีฬาประจำโรงเรียนและชมรมเทควันโด one เคยร่วมกันแข่งขันรายการต่างๆ ได้เหรียญทอง และรางวัลในการแข่งขันจำนวนหลายรายการ อาทิ การแข่งขันเทควันโด อบจ.สิงห์บุรี, เทควันโดยอดปฏิภาณ ทัวร์นาเมนท์ ครั้งที่ 2 และการแข่งขันเทควันโดที่โรงเรียนเตรียมอุดมน้อมเกล้า จ.สมุทรปราการ และยังได้รับรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ลายมือบอกนิสัย

ตัวหนังสือผอม
สำหรับคนที่เขียนตัวหนังสือที่มีลักษณะผอมสูงจนสามารถแลเห็นได้อย่างชัดเจนนั้น อุปนิสัยนั้นมักจะเป็นคนที่มีความอ่อนไหว จิตใจจะเปราะบางมาก ชอบชีวิตที่เรียบง่ายสบาย ๆ ที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก และค่อนข้างจะเป็นคนที่เก็บตัวอยู่ในโลกของตัวเอง ไม่ค่อยสนใจหรือเข้าไปวุ่นวายกับเรื่องคนอื่น ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ออกจะขี้อายไม่มีความมั่นใจในตัวเองนัก ทั้งยังถือสาในคำพูดของคนอื่นที่มีต่อตนเอง คนรอบข้างจะเข้ามามีอิทธิพลในชีวิตสูง

ตัวหนังสือบาง
คนที่เขียนตัวหนังสือบางนั้น มีความแตกต่างจากตัวหนังสือแบบผอมสูง เพราะตัวหนังสือบาง หมายถึงเส้นที่เขียนจะเบา ไม่มีความหนักแน่นชัดเจน ส่วนอุปนิสัยของคนที่มีลายมือแบบนี้ บ่งบอกถึงการเป็นคนที่ช่างคิดจนออกไปทางการเป็นคนคิดมาก แต่ในขณะเดียวกัน ก็จะมีความสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตน ติดจะขี้อายพอสมควรทีเดียว ให้พูดหรือแสดงออกท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก มักจะไม่ประสบผลสำเร็จ แต่จะชอบทำในสิ่งที่คุ้นเคยอยู่เสมอ ๆ

หนังสือตัวหนัก
สำหรับข้อนี้หมายถึงตัวหนังสือที่เวลาเขียนผู้เขียนจะกดเส้นลงหนักมาก ส่งผลให้ตัวหนังสือมีความชัดเจนเป็นอย่างดี ส่วนอุปนิสัยของคนที่มีลายมือลักษณะนี้ จะเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองมาก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่มีความสามารถด้วยเช่นกัน จึงไม่ค่อยรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นมากนักแต่จะเป็นคนที่สามารถวางแผนและ จัดการทุกเรื่องอย่างเป็นระบบระเบียบเสมอ มักมีเป้าหมายในชีวิตและค่อนข้างจะคาดหวังในชีวิตมาก ชอบการเป็นคนโดดเด่นและมีความสำคัญ

ตัวหนังสือโต ตัวหนังสือตัวโต
หมายถึงตัวหนังสือที่มีขนาดใหญ่แต่จะมีขนาดของตัวอักษรที่สมดุลย์พอดีกันอย่างสม่ำเสมอทุกตัว สำหรับอุปนิสัยของคนที่มีลายมือเช่นนี้ บ่งบอกถึงการเป็นคนใจกว้าง มีน้ำใจไมตรี สามารถเข้าได้กับคนทุกระดับ ชอบการมีคนรักใคร่ชอบพอมาก ๆและมีความสามารถในการควบคุมสถานการณ์อันคับขันเพราะจะเป็นคนที่มีความหนักแน่นเยือกเย็นอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มีความรอบคอบ ถี่ถ้วนและไม่ชอบให้เกิดสิ่งที่ผิดพลาดกับตัวเองอีกด้วย

ตัวหนังสืออ้วน
คนที่เขียนตัวหนังสืออกมาทางอ้วนหมายถึงตัวหนังสือที่มีขนาดความกว้างมากกว่าความยาวนั่นเอง ส่วนอุปนิสัยนั้นบ่งบอกถึงการเป็นคนมองโลกในแง่ดี ไม่เล่ห์เหลี่ยมใด ๆ กับใครทั้งสิ้น ทั้งยังเป็นคนใจอ่อน ใจดีชอบช่วยเหลือเอื้อเฟื้อคนนั้นคนนี้อยู่เสมอจนบางทีตัวเองถึงกับเดือดร้อนอยู่บ่อย ๆ และเมื่อต้องตัดสินใจในเรื่องใดสักเรื่องจะมีความลังเลใจสูงทำให้คนที่ไม่ชอบรับผิดชอบเรื่องใหญ่ ๆ ที่ต้องใช้การตัดสินใจแบบเด็ดขาดแต่มักได้รับความเอ็นดูจากคนใกล้ชิดเสมอ


ตัวหนังสือหวัด
สำหรับคนที่ลายมือหวัดเขียนตัวหนังสือติดพันกันแทบทุกตัว บ่งบอกถึงอุปนิสัยของการเป็นนักคิด นักวางแผนที่ดีแต่ถ้าให้ลงือปฏิบัติเองมักไค่อยประสบผลสำเร็จนอกจากนี้ยังเป็นคนที่เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองมาก และมองการณ์ไกลทั้งยังมีอุดมการณ์ที่สูงส่ง แต่มักเป็นคนที่ไม่ชอบเปิดเผยตัวเองนัก ชอบอยู่ในโลกส่วนตัว และหมกมุ่นทำในสิ่งที่ชื่นชอบครั้งละนาน ๆ ในบางครั้งจะเป็นคนที่ใจร้อนกับเรื่องที่คนอื่นไม่ค่อยคาดคิดหรือคิดไม่ถึง


ตัวหนังสือโย้เย้
คนที่เขียนตัวหนังสือเดี๋ยวตัวโตเดี๋ยวตัวเล็กไม่มีความสม่ำเสมอกันเลยนั้น บอกถึงนิสัยของการเป็นเด็กไร้เดียงสา และไม่ค่อยคิดอะไรที่ซับซ้อนนัก และยังชอบตามใจตัวเอง โดยไม่ค่อยคำนึงถึงจิตใจคนอื่นสักเท่าไร แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ใจกว้าง เปิดเผย ยอมรับความคิดของคนได้ง่าย แต่มักจะมีอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ไม่เอาจริงเอาจัง หรือลึกซึ้งกับสิ่งใดมากนัก โดยเฉพาะถ้าไม่ใช่สิ่งที่ตนชอบหรือสนใจและยังไม่ใช่คนที่มีเหตุผลอะไรเลย


หนังสือเป็นระเบียบ
คนที่เขียนหนังสืออย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เท่ากันทุกวรรค ทุกตอนบ่งบอกถึงนิสัยที่เป็นคนเอาจริงเอาจังกับการทำงาน และเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองเป็นแม้ว่าจะมีความแตกต่างจากคนอื่น โดยไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไรกับตน ทั้งยังเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานสูง และไม่ใช่คนที่ยอมแพ้กับอะไรง่าย ๆ จะมีความอดทนได้ยาวนานจนน่าประหลาดใจกับสิ่งที่ตนมุ่งมั่น นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มีความมั่นคงในจิตใจสูงมาก จะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรง่ายๆ ถ้าไม่ใช่เรื่องร้ายมากนัก

ตัวหนังสือเฉียงขึ้น
คนที่เขียนหนังสือโดยตัวหนังสือจะค่อย ๆ เฉียงขึ้นทุกทีนั้น บ่งบอกถึงการเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นในชีวิตสูงมาก และมีความอดทนพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะค่อย ๆ ไต่เต้านำพาชีวิตของตนให้ไปสู่จุดสูงสุดที่มั่นคงปลอดภัยและเหนือกว่าคนอื่นทั้งยังเป็นที่ให้ค่ากับเรื่องของวัตถุค่อนข้างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็จะเป็นคนที่ยื่นอยู่บนความเป็นจริงของชีวิต ไม่มีความซับซ้อนอะไรมากนัก สิ่งใดถูกก็คือถูกและผิดก็คือผิด และจะเชื่อมั่นในความคิดเช่นนี้โดยไม่สนใจรายละเอียดใด ๆ

ตัวหนังสือเฉียง
ส่วนคนที่เขียนตัวหนังสือในลักษณะที่ทะแยงลงจากระดับของบรรทัดนั้นมักเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ในวันนี้หรือในปัจจุบันมากกว่าที่จะคิดคำนึงไปถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง และมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ชอบใช้ชีวิตแบบง่าย ๆ ไม่มีระเบียบแบบแผนอะไรมากนัก ทั้งยังไม่ใช่คนที่ทะเยอทะยานอะไรเลย แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ชื่นชมชีวิต มีความสุขได้จากทุกสิ่งรอบตัว และมีน้ำใจเข้ากับผู้คนได้ทุกระดับ และยังชอบหยิบยื่นมิตรภาพแก่ทุกคน

ตัวหนังสือเป็นเหลี่ยม
ส่วนคนที่เขียนตัวหนังสือมีลักษณะเป็นเหลี่ยมเป็นมุมอย่างชัดเจนนั้นบ่งบอกถึงนิสัยที่เชื่อมั่นในความคิดของตนอย่างรุนแรง จนออกไปทางคนที่แข็งกระด้าง และไม่ยอมรับความคิดของใครโดยง่ายนอกจากนี้ยังเป็นคนที่เอาจริงเอาจังเคร่งเครียดไปเสียแทบทุกเรื่องทั้งยังเป็นคนเจ้าระเบียบมองโลกแต่ในแง่ร้าย ทำให้หวาดระแวงคนง่ายไม่ค่อยมีความสุขในชีวิตเท่าที่ควร

ตัวหนังสือมน
ส่วนคนที่เขียนตัวหนังสือออกมาทางมน ๆ กลม ๆ นั้นบ่งบอกถึงนิสัยของการเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี ชอบแสวงหาความรื่นรมย์ให้ชีวิต ทั้งยังเป็นคนใจดี ใจอ่อน ชอบการรับใช้บริการ และตามอกตามใจคนรอบข้าง นอกจากนี้ยังเป็นคนที่ปรับตัวเก่ง สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้เร็ว ทั้งยังเป็นคนที่มีความอิสระในตัวเองสูง ไม่ชอบการโดนจำกัดให้อยู่ในกรอบความคิดใดความคิดหนึ่งเท่านั้น จึงสามารถยอมรับความคิดของคนได้โดยง่าย

ตัวหนังสือเล่นหาง
สำหรับคนที่เขียนตัวหนังสือที่ลักษณะตวัดมีหางมาก ๆ นั้น บ่งบอกถึงนิสัยของการเป็นคนช่างฝัน และโรแมนติค ชอบในเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ จนดูเหมือนคนเจ้าชู้ นอกจากนี้ยังเป็นคนที่อารมณ์ปรวนแปรรวดเร็ว มีความต้องการในเรื่องของรูป รส กลิ่น เสียงสูง ชอบชีวิตที่มีสีสันหวือหวาให้ตื่นเต้นเร้าใจอยู่เสมอ ชอบการพบปะกับผู้คน มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีแต่เป็นที่ไม่ระเบียบแบบแผนในชีวิตเท่าที่ควร

ประวัติศาสตร์ชาติไทย (คนไทยต้องอ่าน!)

แปลภาษาทั่วโลก

วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2552

คลิกที่นี่เข้าสู่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์

ใครมีปัญหาที่แก้ไขไม่ได้และต้องการความช่วยเหลือให้ส่งเรื่องราวร้องทุกข์ได้ที่นี่นะครับ ถ้าเป็นข้อมูลลับระดับชาติก็ให้ส่งมาหาครูทาง teacherton@hotmail.com นะครับ

The geometer's sketchpad คืออะไร?

คลิกที่นี่เพื่อทำความรู้จักกับ Sketchpad โปรแกรมทางคณิตศาสตร์ ในอนาคตอันใกล้นักเรียนคนไหนไม่รู้จักโปรแกรมนี้ ถือว่าเชยมากมาย และที่สำคัญนักเรียนของเราได้ชนะเลิศ เป็นตัวแทนไปแข่งที่กรุงเทพกับเค้าด้วยเหมือนกัน แต่ทาง สสวท.ยังไม่ลงชื่อให้เพราะเค้ายังลงไม่ครบครับ ข่าวดี! ปีการศึกษาหน้าหรืออย่างเร็วเทอมหน้าครูต้นจะเปิดชุมนุม Sketchpad ใครสนใจ เตรียมตัวไว้เด้อ

รวมแหล่งทุนการศึกษา

ทีวีออนไลน์

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วิทยุออนไลน์

แบบทดสอบ IQ (ไม่ลองไม่รู้)

เกมคณิตศาสตร์หลายเกม ลองเล่นดูครับ

ความทรงจำสีจาง จาง

ติดต่อครูต้น

ข่าวด่วน! Email เก่าครูต้นถูกปิด ตอนนี้เปลี่ยนใหม่เป็น
teacherton@hotmail.com

ไดอารี่ครูต้น

เรื่องเล่า เช้านี้ ภาค1 (ไม่อ่านไม่ได้แล้ว!)

แท๊กซี่ทรหด กรำงานหนัก-ตายคารถ! เผยขยันส่งลูกเรียน-ใช้หนี้
คนขับ"แท๊กซี่"หัวใจวายตายคารถ สุดทรหดโหมงานหนักหาเงินส่งเสียลูก 3 คนเรียน ญาติเผยขยัน-เก็บออมหาเงินใช้หนี้ ลูกคนโตเรียนคณะทันตฯ มหิคล สุดช็อคร่ำไห้ ครวญยังไม่ทันได้ทดแทนบุญคุณ เผยพ่อฝันมีรถเป็นของตัวเอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 03.00 น. วันที่ 29 กันยายน ร.ต.ท.สุดประเสริฐ หลัดกอง พนักงานสอบสวน สน.พญาไท รับแจ้งเหตุคนขับรถแท็กซี่เสียชีวิต หน้าปากซอยเพชรบุรี 11 ถนนเพชรบุรี แขวงพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ หลังรับแจ้งรุดไปที่เกิดเหตุ พบรถโตโยต้า อัสติส สีชมพู หมายเลขทะเบียน ทร 8072 กรุงเทพ จอดอยู่ชิดขอบทางด้านซ้าย ทราบชื่อผู้ขับขี่คือนายอุดร นาควงศ์ อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 96 หมู่ 5 ต.ท่าหาดยาว อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด นอนเสียชีวิตอยู่บริเวณด้านคนขับ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ส่งศพให้สถาบันนิติเวชผ่าพิสูจน์หาสาเหตุการเสียชีวิตต่อไป

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลรามาธิบดี นางสุปริญญา แสงหล้า อายุ 42 ปี และนายสมบูรณ์ นาควงศ์ อายุ 42 ปี ป้าและน้องชาย พร้อมด้วยญาติของนายอุดร เดินทางมารับศพไปประกอบพิธีทางศาสนา นายสมบูรณ์ กล่าวทั้งน้ำตาว่า แพทย์ระบุผลชันสูตรศพว่าเสียชีวิตเพราะหัวใจล้มเหลวฉับพลัน ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า รถแท็กซี่เสีย หม้อน้ำรั่ว มีควันออกจากฝากระโปรงด้านหน้า จึงดับเครื่องและจอดข้างทาง นั่งพักรอหม้อน้ำหายร้อน ก่อนตรวจดูเครื่องยนต์และเติมน้ำลงในหม้อน้ำ และติดเครื่องยนต์อีกครั้ง ปรากฏว่ามีเสียงดังคล้ายเสียงระเบิดจากเครื่องยนต์ อาจเป็นเหตุให้ตกใจ ประกอบกับเหนื่อยและเครียดเรื่องเงินที่ต้องส่งเสียเลี้ยงลูก 3 คน อาจเป็นสาเหตุให้หัวใจหยุดเต้นฉับพลัน

นายสมบูรณ์ กล่าวต่อไปว่า พี่ชายขับรถแท็กซี่ตั้งแต่ 16.00 -05.00 น.ทุกวัน เป็นคนขยัน เก็บออมเงินส่งให้ลูก 3 คนร่ำเรียน คนโต ชื่อ นายชำนาญ หรือตาล นาควงศ์ อายุ 23 ปี เรียนคณะทันตแพทย์ ปี 5 มหาวิทยาลัยมหิดล คนรองชื่อ น.ส.กาญจนา หรือยุ้ย นาควงศ์ อายุ 20 ปี เรียนชั้นปี 3 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และคนเล็กชื่อนายธีรพงษ์ หรือโจ้ นาควงศ์ อายุ 19 ปี เรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสุวรรณภูมิพิทยไพศาล ทั้ง 3 คน ไม่ได้เดินทางมาโรงพยาบาล เนื่องจากอยู่ จ.ร้อยเอ็ด จะนำศพไปบำเพ็ญกุศลที่วัดสมุทรไชยศรี อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด
นางสุปริญญา กล่าวทั้งน้ำตาว่า ผู้ตายมีมานะอดทน นิสัยดี ขยันทำงานหาเงินส่งเสียลูกเรียนหนังสือ รักครอบครัว เคยเป็นทหารเกณฑ์ แต่เนื่องจากเป็นโรคหัวใจจึงฝึกทหารไม่ผ่าน มาขับรถแท็กซี่กว่า 20 ปี มีภรรยาชื่อ นางถาวร นาควงศ์ อายุ 40 ปี ทำนา อยู่ที่ จ.ร้อยเอ็ด นายอุดรมีหนี้สินจำนวนมาก ทั้งหนี้ที่กู้ยืมเพื่อนๆ และหนี้นอกระบบ เพื่อส่งเสียลูก 3 คนเล่าเรียนจนจบตามที่ตั้งใจ จึงเครียดกับการหาเงินมาใช้หนี้ บางครั้งถึงฤดูทำนา ผู้ตายจะกลับไปทำนาที่บ้าน

ด้านนายชำนาญ บุตรชายคนโต ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ขณะยังร้องไห้เสียงเครือว่า กลับมาอยู่บ้านที่ จ.ร้อยเอ็ด ได้ 1 สัปดาห์ในช่วงปิดเทอม ตกใจจนแทบช็อคที่ทราบข่าวพ่อเสียชีวิต

"พ่อเป็นคนดี ขยันทำงานขับรถแท็กซี่หาเงินส่งเสียเลี้ยงดูครอบครัวมาตลอด มักโทรศัพท์มาถามประจำว่าผมมีเงินใช้หรือไม่ แต่ผมไม่เคยขอเงินเพราะพ่อเหนื่อยมากพอแล้ว แต่พ่อก็ส่งเงินให้เป็นประจำ พ่อทำงานเพื่อผมและน้องๆมาโดยตลอด ขับรถแท็กซี่ส่งเรียนหนังสือตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยม ตั้งใจจะทดแทนบุญคุณเมื่อเรียนหนังสือจบ ขอเวลาอีกประมาณ 1ปีครึ่ง ก็จะจบปริญญา อยากจะซื้อรถให้พ่อขับ เพราะพ่อฝันอยากมีรถเป็นของตัวเอง เนื่องจากชีวิตผูกพันกับรถมานาน ผมไม่เคยดูถูกดูหมิ่นอาชีพของพ่อ รักและเทิดทูนพ่อเสมอ"นายชำนาญกล่าวและว่า คนที่เสียใจมากที่สุดเป็นน้องสาวคนกลาง เพราะผูกพันกับพ่อมาก คุยโทรศัพท์กับพ่อทุกวัน

เนื้อหาโดย : มติชน

บทเรียนออนไลน์ใน www.mahathai.ac.th

คลิกที่นี่เข้าสู่ Webboard / กระดานข่าวของพวกเรา

มีอะขี...เชิาย
เราจะใช้ที่นี่เป็นการสนทนากันนะครับเด็กๆ ทั้งหลาย (ขั้นเทพบ่?)

เกมเศรษฐีชุด บวก ลบ คูณ หารทศนิยม

ประวัติของเจดีย์ขาว แห่งนครเชียงใหม่(น่าสนใจมากมาย)


เจดีย์ขาวสร้างขึ้นเมื่อใดไม่ปรากฏและเอกสารอ้างอิง เป็นตำนานเล่าขานต่อๆ กันมา ในสมัยโบราณกาล ได้มีข้าศึกยกทัพมาจากทางตอนใต้ของจังหวัดเชียงใหม่ และได้มีการประลองธรรมยุตต์ชิงไหวพริบซึ่งกันและกัน ซึ่งฝ่ายข้าศึกถือว่าเมืองเชียงใหม่อยู่ทางตอนเหนือ คงจะไม่มีผู้ใดดำน้ำเก่ง จึงมีการท้าทายการแข่งขันดำน้ำขึ้น ณ บริเวณริมฝั่งแม่น้ำปิง โดยให้เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่สมัยนั้น เอาเมืองเชียงใหม่เป็นประกัน เจ้าผู้ครองนครฯ จึงได้รับคำถ้าประลองยุตต์และประกาศรับสมัครคนเชียงใหม่เข้าทำการแข่งขัน ต่อมาได้มีปู่เปียง ซึ่งเป็นชาวเชียงใหม่ที่มีความรักชาติบ้านเมือง ได้อาสาเป็นตัวแทนเข้าแข่งขัน โดยให้มีการตอกหลักกลางลำแม่น้ำปิงให้ผู้แข่งขันดำลงไปและกอดหลักไว้ ใครโผ่ขึ้นมาก่อนจะเป็นผู้แพ้ ปู่เปียงซ่งมีความรักบ้านเมืองได้ลงไปดำน้ำและได้นำผ้าขะม้าลงไปด้วย และเอาผ้าขะม้ามัดตัวเองติดกับเสาหลักไว้ ฝ่ายข้าศึกและผู้ครองนครคอยเท่าไร ปู่เปียงก็ยังไม่โผล่ขึ้นมา จึงได้ให้คนดำลงไปดู ปรากฏว่าปู่เปียงได้เสียชีวิตแล้ว ฝ่ายข้าศึกจึงได้ยอมแพ้ ซึ่งต่อมาเจ้าผู้ครองนครสมัยนั้น ได้สร้างเจดีย์ขึ้น บริเวณที่แข่งขันดำน้ำนั้นและให้ชื่อว่า “เจดีย์ขาว” หรือเจดีย์กิ่ว เพื่อรำลึกแก่ปู่เปียง ผู้ซึ่งยอมเสียสละชีวิตเพื่อบ้านเมือง เป็นอนุสรณ์แก่บรรพชนรุ่นหลังต่อไปซึ่งสภาพปัจจุบัน “เจดีย์ขาว” นี้ตั้งอยู่บริเวณวังสิงห์คำ หน้าที่ทำการสำนักงานเทศบาลนครเชียงใหม่ โดยมีเทศบาลฯ เป็นผู้บูรณะซ่อมแซมทนุบำรุงเรื่อยมา เป็นที่เคารพนับถือของชาวเชียงใหม่ที่มีความรักบ้านเมือง โดยเฉพาะคณะผู้บริหารงานเทศบาลนครเชียงใหม่ทุกยุคทุกสมัย ตราบจนเท่าทุกวันนี้สถานที่ตั้ง อยู่ตัวอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ข้างน้ำปิง หน้าเทศบาลนครเชียงใหม่


เรื่องนี้แสดงให้นักเรียนเห็นถึงความเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของชาวบ้านที่ต้องการรักษาบ้านเมือง  ไม่เช่นนั้นอาจจะไม่มีนครเชียงใหม่อย่างในปัจจุบัน แล้วเราล่ะ มีความเสียสละบ้างหรือเปล่า???





               

เกมคณิตศาสตร์ออนไลน์

คลิกที่นี่ เล่นเกมคณิตศาสตร์ลับสมอง

รวมแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์ออนไลน์

บทความเรื่อง ครูครับผมขี้เกียจ!

เขียนโดย ครูต้น
เมื่อพูดถึงความขี้เกียจนักเรียนหลายคนคงรู้ซึ้ง เพราะมีความขี้เกียจกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้วแทบทั้งนั้น ถึงแม้บางคนอาจจะขยัน แต่เมื่อเทียบสัดส่วนแล้วก็น้อยกว่าคนขี้เกียจเป็นแน่แท้ หลายคนพ่อแม่ บังคับให้เรียนเกือบทุกวัน ดูเหมือนจะขยันแต่ถ้าถามจากใจนักเรียนแล้วนั้น น้อยคนนักที่อยากเรียนด้วยใจจริง ส่วนใหญ่ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากเรียน เหตุผลไม่มีอะไรนอกจากผมขี้เกียจ!!
หลายครั้งที่ครูพยายามที่จะนำเรื่องราวต่างๆ มาเล่าให้นักเรียนฟังเพื่อปลูกจิตสำนึกให้นักเรียนรู้ถึงข้อดีของการตั้งใจเรียน เรียนไปเพื่ออะไร รู้จักการตั้งเป้าหมายในชีวิต การเอาชนะใจตนเอง โดยเปลี่ยนจากความขี้เกียจเป็นความขยันให้ได้มากที่สุด แต่ก็เหมือนไม่ได้ผลซักเท่าไร เพราะนักเรียนน้อยคนนักที่จะฟังแล้วคิดตามส่วนใหญ่ เข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา

“นักเรียนครับ ถ้าวันนี้ตั้งใจเรียน ครูจะไม่ให้การบ้าน” ถ้าวันไหนครูพูดคำนี้ นักเรียนจะตั้งใจเป็นพิเศษ ครูถามอะไรในห้องไม่ว่าจะยากเย็นสักปานใดนักเรียนก็ตอบได้หมด ให้ทำแบบฝึกหัดเยอะแค่ไหน ก็ไม่บ่น ขอแค่ครูไม่ให้การบ้าน เพราะอะไรน่ะหรือครับ ก็เพราะนักเรียนขี้เกียจทำการบ้านไงล่ะ!!

วันต่อมาผู้ปกครองโทรหาครู “ครูครับทำไมลูกผมไม่เคยมีการบ้านเลยวิชาคณิตศาสตร์ครูไม่ให้การบ้านเลยหรือครับ” หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วการสอนนักเรียนในห้องโดยบอกว่าไม่ให้การบ้าน นักเรียนกลับตั้งใจเรียนมากเป็นพิเศษ สมัยนี้ถ้าครูสอนโดยไม่มีข้อต่อรอง

ไม่เสริมแรง นักเรียนก็จะเรียนไปอย่างงั้นกว่าครูจะบอกให้ฟังให้ตั้งใจเรียนก็ยากนักหนา เผลอเป็นเหม่อลอยมองไปทางอื่น หรือไม่ก็คุยกันเล่นกัน ครูก็ดุเอามากๆ ถ้าคุยกับเพื่อนกลัวครูดุบางคนถึงขั้นพูดคนเดียวก็ยังมี แปลกไม๊ล่ะครับ!!

ขี้เกียจทำการบ้านจึงเหมือนจะเป็นเรื่องปกติของเด็กสมัยนี้

ครูจำใจต้องยอมรับ ถึงแม้จะรู้ดีว่าการตั้งใจเรียนในห้องเรียน และการมีสมาธิในการเรียนอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้นักเรียนทำงานส่งครูได้ตามกำหนด มีความเข้าใจในบทเรียนทำให้สอบได้คะแนนดี นักเรียนมีโอกาสที่จะเรียนได้ดีมากกว่าที่ครูให้การบ้านทุกวัน ในขณะที่ในห้องเรียนนักเรียนไม่เคยตั้งใจ บ่อยครั้งที่นักเรียนลอกการบ้านมาส่งครู บางคนถึงขั้นเครียด ไม่อยากมาเรียน เดี๋ยวถูกครูดุ ครูตี เพราะไม่ได้ทำการบ้าน จะมีประโยชน์อะไรในเมื่อนักเรียนไม่มีความสุขที่จะมาเรียน จริงไหมครับ?

นักเรียนบางคนเรียนในห้องไม่เคยตั้งใจเรียน คะแนนออกมาก็ตกต่ำเสียเหลือเกิน สอบตกกี่ครั้งก็ไม่เคยส่งงานสอบซ่อม ครูต้องตามแล้วตามอีก แต่ความรับผิดชอบของนักเรียนส่วนใหญ่ก็แทบจะไม่มีเอาเสียเลย แต่พ่อแม่ส่งให้เรียนพิเศษทุกวันธรรมดา วันหยุดเสาร์ อาทิตย์ ไหนจะวันหยุดราชการ ทุ่มเทเงินทองเพื่อให้ลูกได้เรียนพิเศษทัดเทียมกับเพื่อน เลือกสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อช่วยให้ลูกสอบได้คะแนนดีขึ้น เสียเงินเท่าไหร่ไม่ว่า แทนที่ลูกจะตั้งใจเรียน กลับตรงข้าม จะมีประโยชน์อะไรถ้าลูกไปเรียนทุกที่ ที่พ่อแม่ส่งให้ไปเรียน แต่ไม่ตั้งใจเรียนเอาเสียเลย นั่งเพื่อให้หมดเวลาไปเท่านั้นแค่ได้ชื่อว่า “ผมไปเรียนพิเศษ”

นอกจากความขี้เกียจแล้วนักเรียนยังมีเรื่องที่น่าทึ่ง ทำให้ครูอดประหลาดใจไม่ได้ เนื่องจากนักเรียนมักจะแก้คำสุภาษิตครูได้เสมอ เช่น “นักเรียนครับ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น พยายามตั้งใจเรียนหน่อยนะครับ” ครูพูด

“ครูครับผมว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความฉิบหายอยู่ที่นั่นมากกว่าครับ” แหม มันคิดได้ไงเนี่ย ??

“อ่ะนักเรียน คนเราทำดีได้ดีนะครับ” ครูครับผมว่า “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไปครับ” (ดูมันพูด)

ยังไงก็ตั้งใจเรียนหน่อยละกันนะ จะได้สอบได้คะแนนดีดี เผื่อมีโอกาสเรียนต่อสูงๆ ไปเรียนถึงเมืองนอก เมืองนากับเค้าบ้าง


ครูครับผมว่า “เรียนๆ ลอกๆ ไปนอกถมไปครับ” ให้มันได้อย่างงี้

สารพัดเรื่องดีดีที่นักเรียนคิดได้ เข้าข้างตัวเองแทบทั้งนั้น !

สอบทีความรู้รอบตัวแทบไม่มี มีแต่ความรู้รอบโต๊ะเต็มเปี่ยม สังเกตุได้จากการสอบแต่ละครั้งจะมีนักเรียนตาเหล่กันไปหลายคน เพราะเหล่แล้วเหล่อีก ทำให้ครูอดคิดไม่ได้ว่า นี่ถ้าตั้งใจเรียนตั้งแต่แรก คงไม่ต้องตาเหล่ !! ช่างน่าสงสารยิ่งนัก

ปัจจุบันเด็กนักเรียนไทยใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย โดยเฉพาะเด็กนักเรียนที่อยู่ในตัวเมือง จึงอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นักเรียนเกิดความเคยชินที่จะได้รับความสะดวกสบายทุกอย่าง จนเป็นนิสัย ความเคยชินนี้เลยกลายเป็นความไม่กระตือรือร้น เพราะทุกอย่างพ่อแม่หาให้อยู่แล้ว บางคนอยู่หอพักไกลหูไกลตาพ่อแม่ ก็ไม่แตกต่างกัน เพราะถึงแม้จะไม่สะดวกสบายเหมือนอยู่กับพ่อแม่ แต่ก็ไม่มีใครคอยเคี่ยวเข็ญใกล้ชิด ในที่สุดก็จึงกลายเป็นความขี้เกียจและยิ่งไปกว่านั้นความขี้เกียจก็ยังเป็นบ่อเกิดของการขาดความรับผิดชอบนั่นเอง!!

สังเกตุจากการส่งงานเป็นส่วนใหญ่เวลาครูให้ส่งงาน นักเรียนมักจะไม่ค่อยส่งเพราะอาจจะลืมทำ ขี้เกียจทำ จำไม่ได้ว่าครูสั่งงาน หรือทำแล้วแต่ไม่รู้เอาไปไว้ไหน บ้างก็ลืมสมุดไว้ที่บ้าน สารพัดเหตุผลแต่สรุปเหมือนกันคือ “ไม่ได้ส่งงานครู” ทำให้นักเรียนถูกหักคะแนนซึ่งถ้าเทียบแล้วในปัจจุบันคะแนนเก็บต่อคะแนนสอบคิดเป็น 70 ต่อ 30 เลยทีเดียว นั่นหมายความว่า คะแนนงานคะแนนเก็บมากถึง 70 คะแนน แต่นักเรียนส่วนใหญ่มองข้ามไป กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว!

“แม่ครับผมติดศูนย์คณิตศาสตร์” นี่อาจจะเป็นคำพูดที่ลูกอันเป็นที่รักบอกกับแม่ในปลายปี ช่างเป็นคำพูดที่ทำลายหัวใจของผู้เป็นพ่อและแม่เป็นอย่างยิ่ง นักเรียนไม่รู้หรอกว่า คำพูดไม่กี่ประโยค เทียบกับสิ่งที่พ่อแม่ทุ่มเทมาให้ตลอดทั้งปี ไหนจะรับส่งลูกทุกวัน หาที่เรียนพิเศษดีดีให้ลูกเรียน ไหนจะจ่ายค่าเรียนพิเศษ ไหนจะจ่ายค่าเทอม ยังไม่รวมค่าเสื้อผ้า ไหนจะหน้า ไหนจะผมของลูกอันเป็นที่รักแล้วก็ ค่าจิปาถะสารพัดกว่าจะหมดปี หรือถึงแม้บางคนที่ได้อยู่หอพักก็ยิ่งแล้วเข้าไปใหญ่เพราะนอกจากพ่อแม่ต้องจ่ายค่าเทอมที่แสนจะแพงแล้วยังต้องจ่ายค่าหอพักหลักหมื่น แต่ทั้งหมดที่ทุ่มเทมาเพื่อจะมาได้ยินประโยคที่ว่า “แม่ครับผมสอบตก” อย่างนั้นหรือ??

นักเรียนคงปฎิเสธไม่ได้ว่าทั้งหมดนี้ เป็นเพราะความขี้เกียจ ตัวเดียว ที่ทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งที่แท้จริงแล้ว นักเรียนเป็นคนที่น่าอิจฉาเป็นที่สุดในสายตาเด็กด้อยโอกาสทั้งหลายที่เค้าอยากเรียนจนแทบจะขาดใจ แต่ไม่มีโอกาสได้เรียน นักเรียนคงเหนื่อยที่จะต้องมาเรียนทุกวัน เหนื่อยที่จะต้องตั้งใจเรียน แต่หารู้ไม่ว่ามีคนที่เหนื่อยกว่านักเรียนนั่นก็คือ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ที่รักและหวังในตัวนักเรียนทุกคน!

ขอให้จำไว้ว่า ถ้าสมมตุว่านักเรียนเดินแล้วเหนื่อย ให้นึกถึงคนที่เค้าไม่มีขา หรือพิการหวังเพียงอยากจะเดินแทน ถ้านักเรียนเรียนหนักและท้อแท้ ให้นึกถึงคนที่เค้าไม่มีโอกาสได้แม้กระทั่งใส่ชุดนักเรียน เค้าคงอยากจะเรียนแทนเป็นที่สุด

แน่นอนว่านักเรียนที่มีโอกาสได้เรียน อย่างเช่น พวกเราทุกคนย่อมมีโอกาสทางการเรียนในระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ตามกำลังทรัพย์ของพ่อแม่ ซึ่งจะเป็นหนทางในด้านโอกาสทางอาชีพการงานที่ดีกว่านักเรียนตามชนบท ที่แม้กระทั่งดินสอหรือปากกาซักแท่งก็แทบจะหาซื้อไม่ได้ เพราะต้องอดมื้อกินมื้ออยู่ทุกวัน

นักเรียนในเขตอำเภอโดยเฉพาะนักเรียนโรงเรียนเอกชน ร้อยละ 90 มีโทรศัพท์มือถือ มีเงินมากินขนมโรงเรียนวันละเป็นร้อย มีเงินซื้อของเล่นทุกวัน แต่ก็ยังไม่สามารถประสบความสำเร็จในการเรียนเท่าที่ควร เพราะนักเรียนขี้เกียจเรียน แต่ไม่ขี้เกียจเล่น อีกทั้งความประพฤติ คุณธรรมจริยธรรมต่างๆ ก็ต้องสอนกันทุกวัน เพราะนักเรียนค่อนข้างที่จะนึกถึงตนเอง ต้องการทำทุกสิ่งตามความพึงพอใจ เรื่องใดไม่พอใจก็ไม่อยากจะทำ พ่อแม่บอกก็ไม่เชื่อ พ่อแม่คงได้แต่กลุ้มใจ

“ผมอยากเล่นเกม แต่ไม่อยากอ่านหนังสือเรียน” “ผมอยากไปเที่ยว แต่ไม่อยากไปเรียนหนังสือ” เมื่อนักเรียนคิดเช่นนี้จนเคยชิน นักเรียนก็เกิดความขี้เกียจโดยไม่รู้ตัว และความขี้เกียจก็ส่งผลร้ายแก่ตัวนักเรียนและครอบครัวโดยที่นักเรียนเองก็คงคาดไม่ถึง!

ฉะนั้นบอกลาความขี้เกียจเสียตั้งแต่วันนี้ เด็กไทยทุกคนคืออนาคตของชาติ และนักเรียนทุกคนนอกจากจะเป็นความหวัง ความฝันของครอบครัวแล้ว นักเรียนยังเป็นความหวังของประเทศชาติ คงไม่ดีแน่หากชาติไทยที่บรรพบุรุษเรารักษาไว้ด้วยชีวิต รุ่นแล้วรุ่นเล่า จวบจนมาถึงรุ่นเรา ต้องมาพังทลายลงเพราะความขี้เกียจของเด็กไทยในวันนี้

จึงยังไม่สายไปสำหรับการเริ่มต้นใหม่ เด็กไทยวันนี้จะเปลี่ยนเป็นเด็กที่ขยันเรียน ใช้ชีวิตในวัยเรียนให้สมกับความเป็นนักเรียน และสมกับเงินทองที่พ่อแม่อุตส่าห์ทุ่มเทเพื่อเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเรา และสิ่งดีดีที่นักเรียนทำนั้น ก็เพื่อตนเอง เพื่อครอบครัวอันเป็นที่รักยิ่งของนักเรียน และเพื่อประเทศชาติสืบไป.

บทความเรื่อง เรียนคณิตให้สนุก ยังไง???

เขียนโดย ครูต้น
โดยปกติแล้ววิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่สุดแสนจะน่าเบื่อสำหรับนักเรียน เพราะนอกจากจะต้องท่องสูตรคูณทุกวันแล้วยังต้องบวก ลบ คูณ หารเลขอยู่ตลอดเวลา ตัวเลขก็เยอะ ปัญหาก็แยะ เรื่องนั้นก็เข้าใจยาก เรื่องนี้ก็ยากต่อการทำความเข้าใจ อ่านโจทย์ปัญหาก็ไม่เคยเข้าใจซักที แถมเพื่อนที่นั่งข้างๆ ก็ตอบครูข่มขวัญอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อไหร่ถึงเวลาเรียนวิชาคณิต นักเรียนส่วนใหญ่จะคิดแต่ว่า เมื่อไหร่จะหมดเวลาซักทีหนอ บ้างก็หลับในห้องเรียนไปซะอย่างนั้นเพราะเรียนไปก็ไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย


ยิ่งไปกว่านั้นผู้ปกครองส่วนใหญ่ยังเล็งเห็นความสำคัญของวิชาคณิตศาสตร์อย่างมากมาย นอกจากจะเรียนคณิตที่สุดแสนจะสาหัสในโรงเรียนแล้วยังต้องไปเรียนพิเศษติวเข้มคณิตศาสตร์โอลิมปิกบ้าง ซุปเปอร์คณิตศาสตร์สถานที่ไหนว่าเนื้อหาเข้มผู้ปกครองก็ส่งบุตรหลานไปเรียน นั่นก็เพราะอยากให้ลูกเก่งคณิตศาสตร์ แต่หารู้ไม่ว่านั่นอาจจะเป็นความหวังดี ที่ประสงค์ร้ายสำหรับเด็กเพราะถ้าเด็กชอบวิชาคณิตศาสตร์อยู่แล้วก็ดีไป แต่ถ้าคนไหนไม่ชอบคณิตศาสตร์อยู่แล้วก็คงยิ่งเกลียดเข้าไปใหญ่

ดังนั้นผู้เขียนไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเด็กนักเรียนส่วนใหญ่ถึงเกลียดคณิตศาสตร์ เช่นเดียวกับผู้เขียน สมัยก่อนเมื่อถึงเวลาเรียนวิชาคณิตศาสตร์ที่ไร ห้องน้ำในโรงเรียนคือที่หลบภัยเข้าไปหลบตลอดด้วยความไม่อยากเรียนครูก็ดุอายุก็มากแถมชอบดุด่าว่ากล่าวอยู่ตลอดเวลา ก็คนมันเรียนไม่รู้เรื่องจะให้ทำอย่างไร สมัยก่อนเรียนคณิตศาสตร์ถามครูก็โดนดุ ไม่ถามก็สอบตก อยากจะให้มันหมดชั่วโมงเรียนเสียให้ไวไว แต่โบราณเค้าว่า เกลียดอะไรได้อย่างนั้น ผู้เขียนคิดว่ามันจริงแท้และแน่นอน เพราะปัจจุบันผู้เขียนได้มาเป็นครูสอนวิชาคณิตศาสตร์ จากที่เกลียดกลายเป็นรักวิชาคณิตศาสตร์อย่างมากมาย

เนื่องจากมีความรักในวิชานี้ ทำให้ผู้เขียนสอนวิชาคณิตศาสตร์ด้วยใจและมีความสนุกสนาน ทั้งนี้ผู้เขียนได้เคยตั้งปณิธานไว้ว่า “ดิฉันจะทำให้นักเรียนที่เรียนกับดิฉันทุกคนรักวิชาคณิตศาสตร์”

ผู้เขียนเข้าใจดีว่าทำไมนักเรียนถึงเบื่อที่จะเรียนคณิตศาสตร์ จึงนำความคิดนี้มาปรับใช้ในการสอนคณิตศาสตร์ โดยผู้เขียนจะสอดแทรกด้วยเกมอยู่เสมอ อะไรก็เอามาทำเป็นเกมให้นักเรียนเล่นได้ โดยให้เกี่ยวกับบทเรียนนั้นๆ นักเรียนจะชอบมากเมื่อได้เล่นเกม ยกตัวอย่างเช่น เกมแฟนพันธุ์แท้รูปสี่เหลี่ยม เราเอากระดาษลูกฟูกแบบบางมาตัดเป็นสี่เหลี่ยมชนิดต่างๆ โดยให้นักเรียนนี่แหละช่วยกันเอามาคนละรูปสองรูป พอได้มาแล้วก็เอามาเล่นทายชนิดของรูปสี่เหลี่ยมเพื่อหาแฟนพันธุ์แท้ออฟเดอะรูม ที่สุดของที่สุด หารางวัลได้ผู้ชนะซักนิดหน่อย เด็กไทยเรานี่เป็นพวกชอบของรางวัลขอให้ได้เถอะ ลูกอมเม็ดเดียวก็ดีใจเหมือนได้บ้าน ได้รถ

แต่ละวันจะเรียนไปพร้อมกับการทำกิจกรรมเสริมแรง ใครตั้งใจและเป็นผู้ชนะก็ได้รางวัลไปไม่มากมายก็ทำให้เด็กดีใจ และเกิดความอยากเรียนคณิตศาสตร์ขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย

การชมเชยนักเรียนเป็นเรื่องจำเป็นมากสำหรับการสอน แค่คำพูดที่ว่า นักเรียนเก่งมาก นักเรียนทำได้ดีมาก นักเรียนมีความตั้งใจดีมาก เมื่อนักเรียนตอบปัญหาได้ ครูชม เมื่อนักเรียนตอบผิดครูให้กำลังใจ ด้วยคำว่า ไม่เป็นไรครับเรามีตัวช่วย แล้วให้เพื่อนช่วยตอบ หลังจากนั้นลองให้นักเรียนคนเดิมตอบใหม่อีกครั้งในข้อง่ายๆ นักเรียนคนนั้นจะรู้สึกดี และไม่รู้สึกว่าด้อยกว่าเพื่อนหรือโดนประจาน ทำให้นักเรียนเกิดความอยากตอบให้ได้เอง ภูมิใจเมื่อครูชม ก็ดูเหมือนจะเป็นความสำเร็จอีกขั้นหนึ่ง อย่างน้อยก็ปรับทัศนคติเด็กที่เรียนไม่เก่งให้รู้สึกเริ่มชอบที่จะเรียนวิชาคณิตศาสตร์

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมในการเรียนเรื่องการซื้อ-ขาย นักเรียนจะได้ลองใช้เงินซื้อสินค้า ได้ทอนเงิน เขียนใบเสร็จรับเงินจริง ซึ่งครูก็ให้นักเรียนช่วยกันเอาแบงค์เลียนแบบมา นักเรียนก็ตื่นเต้นมากที่ได้ใช้เงิน บ้างก็ได้เป็นผู้ขายแม้จะถูกบ้างผิดบ้าง มั่วบ้าง แต่นักเรียนก็มีความสุขและรู้จักการซื้อ ขาย การลดราคา กำไร ขาดทุน เด็กบางคนเรียนไม่เก่ง แต่คิดเงินทอนเงินเก่ง เพราะบ้านค้าขาย นั่นก็ทำให้รู้ว่าเค้ามีศักยภาพในการคิดคำนวณ เพียงแต่ต้องพัฒนาให้มากขึ้น และอัจฉริยภาพของเขาสร้างได้เช่นกัน!

อย่างไรก็ตามนอกจากการเรียนการสอนด้วยการใช้เกม และทำกิจกรรมที่น่าสนใจแล้ว ผู้เขียนยังต้องสอดแทรกเรื่องเล่าคุณธรรม ไม่ว่าจะเป็น กฎแห่งกรรม เรื่องเล่าเช้านี้ เล่าข่าวสารบ้านเมืองที่น่าสนใจ หรือบทความสารคดี ที่น่าสนใจให้นักเรียนฟังเป็นครั้งคราวเพราะนอกจากนักเรียนจะได้ความรู้เพิ่มแล้ว นักเรียนก็ยังได้คิดเรื่องคุณธรรม ทำให้พฤติกรรมของนักเรียนดีขั้น ผู้เขียนสังเกตได้ว่า นักเรียนชอบเรื่องเล่าเป็นอย่างมาก และมันเป็นการดึงสมาธิให้กลับมาที่ผู้สอนได้อย่างง่ายดาย หลังจากเล่าจบก็สอนต่อ นักเรียนก็ยังคงมีสมาธิอยู่กับครูผู้สอนนั่นเอง แต่เรื่องเล่าที่นักเรียนชอบมากที่สุดที่ผู้เขียนคอนเฟริม์ก็คือ เรื่องผี ไม่รู้เป็นยังไงอยากให้เล่าแต่เรื่องผี ใจคอนักเรียนจะให้ครูเจอผีทุกวัน ก็คงจะไม่ไหว ทั้งนี้เรื่องเล่าบางเรื่องจึงต้องใช้วิจารณญาณในการรับฟังด้วย ต้องบอกนักเรียนให้เข้าใจ

การให้คะแนนดูเหมือนจะเป็นอะไรที่ครูกังวลมาก เพราะนักเรียนบางคนเหมือนจะไม่อยากได้คะแนน เมื่อให้เรียนแบบตัวใครตัวมันแล้วไม่ได้ประสิทธิผล ผู้เขียนจึงให้คะแนนแบบ บุฟเฟ่ต์ ก็คือการเหมา เหมานั่นเอง เหมาห้อง การเรียกให้ตอบทีละคน ถือว่าคนที่ครูเรียกคือตัวแทนห้อง ถ้าตอบได้ก็จะให้คะแนนทั้งห้อง ถ้าตอบผิดก็ให้มีตัวช่วยได้ไม่เกินสองคน ถ้าตัวช่วยช่วยไม่ได้ก็หักคะแนนทั้งห้อง การเรียนแบบนี้ ผู้เขียนสังเกตว่านักเรียนจะช่วยกันแบบเอาเป็นเอาตาย เพราะต่างก็อยากได้คะแนน และนักเรียนจะมีความรู้รักสามัคคีเพิ่มขึ้น เพราะนักเรียนจะเรียนรู้ไปเองว่า ถ้าเราเก่งเราต้องช่วยเพื่อนด้วย

การให้คะแนนแบบบุฟเฟต์ทำให้ห้องเรียนครื้นเครงมากเพราะ บรรยากาศจะเหมือนเชียร์มวยไม่มีผิด แต่ทั้งนี้ผู้เขียนก็ต้องมีกติกาในการควบคุมห้องเรียน การปล่อยให้เด็กได้เปล่งเสียงบ้างก็ทำให้เด็กสบายใจในการเรียนมากขึ้นและไม่เครียดนั่นเอง!!

เมื่อให้การบ้านแล้วไม่ทำ ไม่ส่ง ก็ต้องให้การโรงเรียนแทน เพราะเราจะต้องทำแบบฝึกหัก ฝึกทักษะกันในห้องเรียน ทุกคนจะต้องมีส่วนร่วมในการทำคณิตศาสตร์บนกระดาน หรือการแบ่งกลุ่มเล็กๆ เพื่ออภิปรายเรื่องสั้นๆ ใช้เวลาไม่มาก เพื่อให้นักเรียนเกิดความกล้าที่จะพูด และไม่กลัวที่จะผิด การทำแบบฝึกหัดในห้องทำให้ครูรู้ว่าใครที่เรียนพอใช้ได้ ใครเรียนไม่ได้ ใครเก่ง ใครอ่อน และทำให้การพัฒนาศักยภาพรายบุคคลทำได้ง่ายขึ้น

ผู้เขียนจะไม่ทำการสอนถ้าวันนั้นนักเรียนมีอาการง่วงกันเกินครึ่งห้อง หรือเพิ่งเล่นพละขึ้นมาแล้วร้อนมาก หรือมีเสียงดังรบกวนจากภายนอก เพราะผู้เขียนรู้ดีว่า นักเรียน เรียนไม่รู้เรื่องแน่นอน ที่สำคัญ ผิดคอนเซปต์ ที่ตั้งไว้ว่า ต้องเรียนให้สนุก ถ้ามีคนง่วงจะสนุกได้อย่างไร และมันเป็นความท้าทายของผู้สอนที่ต้องหาวิธีกระตุ้นประสาทนักเรียนก่อน และแน่นอนคงไม่พ้นการเล่าเรื่องที่นักเรียนชอบฟัง การพาเล่นเกมง่ายๆ เช่น เกมทายใจ ครูเขียนตัวเลขแอบไว้ แล้วให้นักเรียนทายว่าครูเขียนเลขอะไร เล่นกันซักรอบสองรอบรับรองหายง่วง หายร้อน แล้วค่อยมาว่ากันเรื่องบทเรียน ถึงแม้จะเหลือเวลาอีกเพียง 10 หรือ 15 นาที แต่มันก็เป็นเวลา 10-15 นาทีที่มีค่ามากถ้านักเรียนสามารถเรียนได้อย่างเข้าใจ และมีความสุข

มีผู้ปกครองเคยถามผู้เขียนว่า “ทำไมวิชาคณิตศาสตร์เด็กตกกันเยอะจัง” ผู้เขียนตอบทันทีว่า “น่าจะเป็นที่ครูสอนไม่ดี ทำให้เด็กเข้าใจในบทเรียนไม่ได้ เด็กก็เลยสอบตก” ผู้ปกครองคนนั้นก็สวนกลับทันควันว่า “ไม่หรอกค่ะ เพราะลูกบอกครูสอนดีมาก สอนเข้าใจ” ผู้เขียนคิดในใจทุกครั้งที่ได้ยินแบบนี้ว่า ถ้าสอนเข้าใจแล้วทำไมถึงสอบตก เข้าใจแบบไหนกันล่ะนี่

ผู้เขียนเชื่อมั่นว่า การเรียนการสอนแบบคณิตคิดสนุกนั้นทำได้ไม่ยาก นักเรียนหลายคนก็เรียนคณิตศาสตร์ได้ดีขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นมีนักเรียนอีกมากมายที่รักคณิตศาสตร์มากขึ้น เพราะการเรียนที่สนุกสนาน ปนกับความตื่นเต้นเร้าใจตลอดเวลาที่อยู่ในชั่วโมงเรียน แต่ปัญหาหนักใจที่สำคัญที่ต้องคิดต่อ ก็คงจะเป็นเรื่องที่จะต้องทำยังไงเด็กถึงจะสอบคณิตศาสตร์ผ่านทุกคน ถ้าเรียนด้วยความสุข ถ้าชอบวิชาคณิตศาสตร์แล้วนักเรียนก็น่าจะสอบผ่านได้ทุกคน

ผู้เขียนจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ครูทุกคนที่อยากเห็นลูกศิษย์ประสบความสำเร็จ คงจะช่วยกันสอนคณิตศาสตร์ให้สนุกสนาน สร้างทัศนคติให้เด็กไทยรักคณิตศาสตร์ตั้งแต่เล็กๆ ผู้ปกครองปลูกฝังแบบไม่ยัดเยียด เมื่อเด็กมีพื้นฐานที่ดีมาตั้งแต่ต้น และมีใจรักในวิชาคณิตศาสตร์แล้ว ต่อไปความฝันของผู้เขียนที่อยากจะให้เด็กไทยสอบผ่านวิชาคณิตศาสตร์ได้ทุกคนคงเป็นจริง และประเทศชาติคงจะได้พึ่งพาเยาวชนที่มีคุณภาพสืบไป.