จากคำกล่าวที่ว่า "สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล"

ดังนั้น เราจะหลีกเลี่ยงการใช้คำหยาบในเวปนี้นะครับ

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2552

บทความเรื่อง ครูครับผมขี้เกียจ!

เขียนโดย ครูต้น
เมื่อพูดถึงความขี้เกียจนักเรียนหลายคนคงรู้ซึ้ง เพราะมีความขี้เกียจกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้วแทบทั้งนั้น ถึงแม้บางคนอาจจะขยัน แต่เมื่อเทียบสัดส่วนแล้วก็น้อยกว่าคนขี้เกียจเป็นแน่แท้ หลายคนพ่อแม่ บังคับให้เรียนเกือบทุกวัน ดูเหมือนจะขยันแต่ถ้าถามจากใจนักเรียนแล้วนั้น น้อยคนนักที่อยากเรียนด้วยใจจริง ส่วนใหญ่ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากเรียน เหตุผลไม่มีอะไรนอกจากผมขี้เกียจ!!
หลายครั้งที่ครูพยายามที่จะนำเรื่องราวต่างๆ มาเล่าให้นักเรียนฟังเพื่อปลูกจิตสำนึกให้นักเรียนรู้ถึงข้อดีของการตั้งใจเรียน เรียนไปเพื่ออะไร รู้จักการตั้งเป้าหมายในชีวิต การเอาชนะใจตนเอง โดยเปลี่ยนจากความขี้เกียจเป็นความขยันให้ได้มากที่สุด แต่ก็เหมือนไม่ได้ผลซักเท่าไร เพราะนักเรียนน้อยคนนักที่จะฟังแล้วคิดตามส่วนใหญ่ เข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา

“นักเรียนครับ ถ้าวันนี้ตั้งใจเรียน ครูจะไม่ให้การบ้าน” ถ้าวันไหนครูพูดคำนี้ นักเรียนจะตั้งใจเป็นพิเศษ ครูถามอะไรในห้องไม่ว่าจะยากเย็นสักปานใดนักเรียนก็ตอบได้หมด ให้ทำแบบฝึกหัดเยอะแค่ไหน ก็ไม่บ่น ขอแค่ครูไม่ให้การบ้าน เพราะอะไรน่ะหรือครับ ก็เพราะนักเรียนขี้เกียจทำการบ้านไงล่ะ!!

วันต่อมาผู้ปกครองโทรหาครู “ครูครับทำไมลูกผมไม่เคยมีการบ้านเลยวิชาคณิตศาสตร์ครูไม่ให้การบ้านเลยหรือครับ” หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วการสอนนักเรียนในห้องโดยบอกว่าไม่ให้การบ้าน นักเรียนกลับตั้งใจเรียนมากเป็นพิเศษ สมัยนี้ถ้าครูสอนโดยไม่มีข้อต่อรอง

ไม่เสริมแรง นักเรียนก็จะเรียนไปอย่างงั้นกว่าครูจะบอกให้ฟังให้ตั้งใจเรียนก็ยากนักหนา เผลอเป็นเหม่อลอยมองไปทางอื่น หรือไม่ก็คุยกันเล่นกัน ครูก็ดุเอามากๆ ถ้าคุยกับเพื่อนกลัวครูดุบางคนถึงขั้นพูดคนเดียวก็ยังมี แปลกไม๊ล่ะครับ!!

ขี้เกียจทำการบ้านจึงเหมือนจะเป็นเรื่องปกติของเด็กสมัยนี้

ครูจำใจต้องยอมรับ ถึงแม้จะรู้ดีว่าการตั้งใจเรียนในห้องเรียน และการมีสมาธิในการเรียนอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้นักเรียนทำงานส่งครูได้ตามกำหนด มีความเข้าใจในบทเรียนทำให้สอบได้คะแนนดี นักเรียนมีโอกาสที่จะเรียนได้ดีมากกว่าที่ครูให้การบ้านทุกวัน ในขณะที่ในห้องเรียนนักเรียนไม่เคยตั้งใจ บ่อยครั้งที่นักเรียนลอกการบ้านมาส่งครู บางคนถึงขั้นเครียด ไม่อยากมาเรียน เดี๋ยวถูกครูดุ ครูตี เพราะไม่ได้ทำการบ้าน จะมีประโยชน์อะไรในเมื่อนักเรียนไม่มีความสุขที่จะมาเรียน จริงไหมครับ?

นักเรียนบางคนเรียนในห้องไม่เคยตั้งใจเรียน คะแนนออกมาก็ตกต่ำเสียเหลือเกิน สอบตกกี่ครั้งก็ไม่เคยส่งงานสอบซ่อม ครูต้องตามแล้วตามอีก แต่ความรับผิดชอบของนักเรียนส่วนใหญ่ก็แทบจะไม่มีเอาเสียเลย แต่พ่อแม่ส่งให้เรียนพิเศษทุกวันธรรมดา วันหยุดเสาร์ อาทิตย์ ไหนจะวันหยุดราชการ ทุ่มเทเงินทองเพื่อให้ลูกได้เรียนพิเศษทัดเทียมกับเพื่อน เลือกสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อช่วยให้ลูกสอบได้คะแนนดีขึ้น เสียเงินเท่าไหร่ไม่ว่า แทนที่ลูกจะตั้งใจเรียน กลับตรงข้าม จะมีประโยชน์อะไรถ้าลูกไปเรียนทุกที่ ที่พ่อแม่ส่งให้ไปเรียน แต่ไม่ตั้งใจเรียนเอาเสียเลย นั่งเพื่อให้หมดเวลาไปเท่านั้นแค่ได้ชื่อว่า “ผมไปเรียนพิเศษ”

นอกจากความขี้เกียจแล้วนักเรียนยังมีเรื่องที่น่าทึ่ง ทำให้ครูอดประหลาดใจไม่ได้ เนื่องจากนักเรียนมักจะแก้คำสุภาษิตครูได้เสมอ เช่น “นักเรียนครับ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น พยายามตั้งใจเรียนหน่อยนะครับ” ครูพูด

“ครูครับผมว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความฉิบหายอยู่ที่นั่นมากกว่าครับ” แหม มันคิดได้ไงเนี่ย ??

“อ่ะนักเรียน คนเราทำดีได้ดีนะครับ” ครูครับผมว่า “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไปครับ” (ดูมันพูด)

ยังไงก็ตั้งใจเรียนหน่อยละกันนะ จะได้สอบได้คะแนนดีดี เผื่อมีโอกาสเรียนต่อสูงๆ ไปเรียนถึงเมืองนอก เมืองนากับเค้าบ้าง


ครูครับผมว่า “เรียนๆ ลอกๆ ไปนอกถมไปครับ” ให้มันได้อย่างงี้

สารพัดเรื่องดีดีที่นักเรียนคิดได้ เข้าข้างตัวเองแทบทั้งนั้น !

สอบทีความรู้รอบตัวแทบไม่มี มีแต่ความรู้รอบโต๊ะเต็มเปี่ยม สังเกตุได้จากการสอบแต่ละครั้งจะมีนักเรียนตาเหล่กันไปหลายคน เพราะเหล่แล้วเหล่อีก ทำให้ครูอดคิดไม่ได้ว่า นี่ถ้าตั้งใจเรียนตั้งแต่แรก คงไม่ต้องตาเหล่ !! ช่างน่าสงสารยิ่งนัก

ปัจจุบันเด็กนักเรียนไทยใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย โดยเฉพาะเด็กนักเรียนที่อยู่ในตัวเมือง จึงอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นักเรียนเกิดความเคยชินที่จะได้รับความสะดวกสบายทุกอย่าง จนเป็นนิสัย ความเคยชินนี้เลยกลายเป็นความไม่กระตือรือร้น เพราะทุกอย่างพ่อแม่หาให้อยู่แล้ว บางคนอยู่หอพักไกลหูไกลตาพ่อแม่ ก็ไม่แตกต่างกัน เพราะถึงแม้จะไม่สะดวกสบายเหมือนอยู่กับพ่อแม่ แต่ก็ไม่มีใครคอยเคี่ยวเข็ญใกล้ชิด ในที่สุดก็จึงกลายเป็นความขี้เกียจและยิ่งไปกว่านั้นความขี้เกียจก็ยังเป็นบ่อเกิดของการขาดความรับผิดชอบนั่นเอง!!

สังเกตุจากการส่งงานเป็นส่วนใหญ่เวลาครูให้ส่งงาน นักเรียนมักจะไม่ค่อยส่งเพราะอาจจะลืมทำ ขี้เกียจทำ จำไม่ได้ว่าครูสั่งงาน หรือทำแล้วแต่ไม่รู้เอาไปไว้ไหน บ้างก็ลืมสมุดไว้ที่บ้าน สารพัดเหตุผลแต่สรุปเหมือนกันคือ “ไม่ได้ส่งงานครู” ทำให้นักเรียนถูกหักคะแนนซึ่งถ้าเทียบแล้วในปัจจุบันคะแนนเก็บต่อคะแนนสอบคิดเป็น 70 ต่อ 30 เลยทีเดียว นั่นหมายความว่า คะแนนงานคะแนนเก็บมากถึง 70 คะแนน แต่นักเรียนส่วนใหญ่มองข้ามไป กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว!

“แม่ครับผมติดศูนย์คณิตศาสตร์” นี่อาจจะเป็นคำพูดที่ลูกอันเป็นที่รักบอกกับแม่ในปลายปี ช่างเป็นคำพูดที่ทำลายหัวใจของผู้เป็นพ่อและแม่เป็นอย่างยิ่ง นักเรียนไม่รู้หรอกว่า คำพูดไม่กี่ประโยค เทียบกับสิ่งที่พ่อแม่ทุ่มเทมาให้ตลอดทั้งปี ไหนจะรับส่งลูกทุกวัน หาที่เรียนพิเศษดีดีให้ลูกเรียน ไหนจะจ่ายค่าเรียนพิเศษ ไหนจะจ่ายค่าเทอม ยังไม่รวมค่าเสื้อผ้า ไหนจะหน้า ไหนจะผมของลูกอันเป็นที่รักแล้วก็ ค่าจิปาถะสารพัดกว่าจะหมดปี หรือถึงแม้บางคนที่ได้อยู่หอพักก็ยิ่งแล้วเข้าไปใหญ่เพราะนอกจากพ่อแม่ต้องจ่ายค่าเทอมที่แสนจะแพงแล้วยังต้องจ่ายค่าหอพักหลักหมื่น แต่ทั้งหมดที่ทุ่มเทมาเพื่อจะมาได้ยินประโยคที่ว่า “แม่ครับผมสอบตก” อย่างนั้นหรือ??

นักเรียนคงปฎิเสธไม่ได้ว่าทั้งหมดนี้ เป็นเพราะความขี้เกียจ ตัวเดียว ที่ทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งที่แท้จริงแล้ว นักเรียนเป็นคนที่น่าอิจฉาเป็นที่สุดในสายตาเด็กด้อยโอกาสทั้งหลายที่เค้าอยากเรียนจนแทบจะขาดใจ แต่ไม่มีโอกาสได้เรียน นักเรียนคงเหนื่อยที่จะต้องมาเรียนทุกวัน เหนื่อยที่จะต้องตั้งใจเรียน แต่หารู้ไม่ว่ามีคนที่เหนื่อยกว่านักเรียนนั่นก็คือ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ที่รักและหวังในตัวนักเรียนทุกคน!

ขอให้จำไว้ว่า ถ้าสมมตุว่านักเรียนเดินแล้วเหนื่อย ให้นึกถึงคนที่เค้าไม่มีขา หรือพิการหวังเพียงอยากจะเดินแทน ถ้านักเรียนเรียนหนักและท้อแท้ ให้นึกถึงคนที่เค้าไม่มีโอกาสได้แม้กระทั่งใส่ชุดนักเรียน เค้าคงอยากจะเรียนแทนเป็นที่สุด

แน่นอนว่านักเรียนที่มีโอกาสได้เรียน อย่างเช่น พวกเราทุกคนย่อมมีโอกาสทางการเรียนในระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ตามกำลังทรัพย์ของพ่อแม่ ซึ่งจะเป็นหนทางในด้านโอกาสทางอาชีพการงานที่ดีกว่านักเรียนตามชนบท ที่แม้กระทั่งดินสอหรือปากกาซักแท่งก็แทบจะหาซื้อไม่ได้ เพราะต้องอดมื้อกินมื้ออยู่ทุกวัน

นักเรียนในเขตอำเภอโดยเฉพาะนักเรียนโรงเรียนเอกชน ร้อยละ 90 มีโทรศัพท์มือถือ มีเงินมากินขนมโรงเรียนวันละเป็นร้อย มีเงินซื้อของเล่นทุกวัน แต่ก็ยังไม่สามารถประสบความสำเร็จในการเรียนเท่าที่ควร เพราะนักเรียนขี้เกียจเรียน แต่ไม่ขี้เกียจเล่น อีกทั้งความประพฤติ คุณธรรมจริยธรรมต่างๆ ก็ต้องสอนกันทุกวัน เพราะนักเรียนค่อนข้างที่จะนึกถึงตนเอง ต้องการทำทุกสิ่งตามความพึงพอใจ เรื่องใดไม่พอใจก็ไม่อยากจะทำ พ่อแม่บอกก็ไม่เชื่อ พ่อแม่คงได้แต่กลุ้มใจ

“ผมอยากเล่นเกม แต่ไม่อยากอ่านหนังสือเรียน” “ผมอยากไปเที่ยว แต่ไม่อยากไปเรียนหนังสือ” เมื่อนักเรียนคิดเช่นนี้จนเคยชิน นักเรียนก็เกิดความขี้เกียจโดยไม่รู้ตัว และความขี้เกียจก็ส่งผลร้ายแก่ตัวนักเรียนและครอบครัวโดยที่นักเรียนเองก็คงคาดไม่ถึง!

ฉะนั้นบอกลาความขี้เกียจเสียตั้งแต่วันนี้ เด็กไทยทุกคนคืออนาคตของชาติ และนักเรียนทุกคนนอกจากจะเป็นความหวัง ความฝันของครอบครัวแล้ว นักเรียนยังเป็นความหวังของประเทศชาติ คงไม่ดีแน่หากชาติไทยที่บรรพบุรุษเรารักษาไว้ด้วยชีวิต รุ่นแล้วรุ่นเล่า จวบจนมาถึงรุ่นเรา ต้องมาพังทลายลงเพราะความขี้เกียจของเด็กไทยในวันนี้

จึงยังไม่สายไปสำหรับการเริ่มต้นใหม่ เด็กไทยวันนี้จะเปลี่ยนเป็นเด็กที่ขยันเรียน ใช้ชีวิตในวัยเรียนให้สมกับความเป็นนักเรียน และสมกับเงินทองที่พ่อแม่อุตส่าห์ทุ่มเทเพื่อเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเรา และสิ่งดีดีที่นักเรียนทำนั้น ก็เพื่อตนเอง เพื่อครอบครัวอันเป็นที่รักยิ่งของนักเรียน และเพื่อประเทศชาติสืบไป.

1 ความคิดเห็น:

  1. อ่านแล้วครับซึ้งมากเป็นอย่างยิ่ง

    ผมสัญญาว่าจะตั้งใจเรียนให้ได้มากที่สุดครับ*-*

    ตอบลบ

ที่แห่งนี้ ที่ทำให้พวกเราเจอกัน ได้ผูกพันพึ่งพา

ที่แห่งนี้ ช่วยเติมเต็มข้อความประทับใจ ทุกเวลา

ที่แห่งนี้ ก็ยังคงความผูกพัน ตลอดไป